วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2559

Glaucus Atlanticus [บลู ดราก้อน]

Glaucus Atlanticus [บลู ดราก้อน]


 [บลู ดราก้อน] (อังกฤษblue sea slugชื่อวิทยาศาสตร์Glaucus atlanticus) หรือที่รู้จักกันในชื่อของ sea swallowblue glaucus และ blue ocean slug เป็นชื่อของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ใต้น้ำทะเลลึกชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นสัตว์จำพวกหอย แต่จะมีรูปร่างลักษณะที่แปลกประหลาดออกไป


         เป็นสัตว์จำพวกทากทะเลสายพันธุ์ Glaucus Atlanticus มีความสามารถพิเศษที่ทำให้ตัวเองลอยอยู่เหนือผิวน้ำได้ด้วยการพองถุงก๊าซในกระเพาะอาหารของตัวมันเอง พวกมันสามารถอาศัยอยู่ได้แค่ในแถบทะเลที่อุณหภูมิของน้ำอุ่นเท่านั้น









The Panda Ant [มดแพนด้า]

The Panda Ant [มดแพนด้า]


กลับมาพบกันอีกครั้งกับเรื่องราวของความเป็นที่สุดในโลกของเราในวันนี้ครับ สำหรับวันนี้จะพาไปดูสัตว์แปลกๆ ที่มีอยู่บนโลกของเราใบนี้กัน มันช่างแปลกเหลือเกินจริงๆ สุดจะจินตนาการได้ ก่อนอื่นต้องบอกไว้ก่อนเลยน่ะครับว่า ภาพที่ทุกท่านได้เห็นกันต่อไปนี้เป็นภาพจริงที่ไม่ได้ผ่านการตัดต่อมาแต่อย่างใด สำหรับเจ้ามดแพนด้า (Panda Ant) ที่เราขอยกให้มันเป็นหนึ่งในสัตว์ที่แปลกที่สุดในโลกครับ เจ้าหมดแพนด้านี้บางครั้งเขาก็เรียกกันว่า มดกำมะหยี่ (velvet ant) ซึ่งถ้าว่ากันจริงๆ แล้วเจ้าสัตว์ตัวนี้ไม่ใช่มดครับ แต่มันคือตัวต่อชนิดหนึ่งที่ดันมีรูปร่างคล้ายกับมดแค่นั้นเอง สำหรับเจ้ามดแพนด้านี้หรือต่อแพนด้านี้ มันมีลักษณะของขนที่ปุกปุย แล้วก็มีสีบนลำตัวที่มองดูคล้ายกับสีของหมีแพนด้า ดูน่ารักน่าชังไม่น้อยเลยทีเดียว ตัวต่อหรือว่ามดแพนด้าชนิดนี้นั้นตัวเมียจะไม่มีปีกครับ เลยทำให้มันยิ่งดูเหมือนแพนด้าเข้าไปใหญ่ ส่วนตัวผู้นั้นมีปีกด้วย เขาว่ากันว่ามันต่อยเจ็บมากๆ ด้วยน่ะครับ เห็นน่ารักๆ แบบนี้พิษร้ายไม่เบาเลยทีเดียว


ถือเป็นความฉลาดของธรรมชาติ ด้วยสีสันที่แปลกตาไม่เหมือนใครของมดแพนด้านี้ ทำให้มันเป็นเหมือนกันสัญญานเตือน บอกไปถึงนักล่าอื่นๆ ให้จดจำว่า พวกมันมีพิษร้ายน่ะ อย่าเข้ามายุ่ง คล้ายๆ กับสีของกบพิษนั่น
แหละครับ




Blob Fish [ปลาบร็อบ]

Blob Fish [ปลาบร็อบ]


บล็อบฟิชที่น่าสงสาร ไม่ใช่แค่หน้าตาท่ี่น่าเกลียด แต่ยังมีชะตากรรมอันรันทดจากการถูกคุกคามโดยอวนลาก ทั้งๆ ที่ปลาน้ำลึกชนิดนี้กินไม่ได้ (บีบีซีนิวส์)
หน้าตาของ "บล็อบฟิช" บ่งบอกความรู้สึกที่ได้เสียงโหวตเป็น "ปลาน่าเกลียดที่สุด" ได้เป็นอย่างดี แม้ว่าเจ้าปลาน้ำลึกชนิดนี้อาจจะไม่ได้รู้สึกหรือรับรู้กิจกรรมที่มนุษย์กำลังทำอยู่
"บล็อบฟิช" (blobfish) ได้รับเสียงโหวตสูงสุดให้เป็นสัญลักษณ์นำโชคหรือมาสคอตอย่างเป็นทางการของสมาคมพิทักษ์สัตว์น่าเกลียด (Ugly Animal Preservation Society) ผลดังกล่าวบีบีซีนิวส์ระบุว่า ทำให้ปลาชนิดนี้กลายเป็นสัตว์น่าเกลียดที่สุดในโลกอย่างไม่เป็นทางการ

สมาคมพิทักษ์สัตว์น่าเกลียดนี้เริ่มกิจกรรมรณรงค์นี้เพื่อกระตุ้นให้เกิดความสนใจแก่สิ่งมีชีวิตที่ไม่สวยงามแต่กำลังถูกคุกคามนี้ โดยบีบีซีนิวส์ระบุว่า การประกาศผลเกิดขึ้นในงานเทศกาลวิทยาศาสตร์อังกฤษ (British Science Festival) ในนิวคาสเซิล




บล็อบฟิชได้คะแนนความน่าเกลียดสูงสุดติด "ท็อปไฟว์" พร้อมกับสัตว์อื่นๆ เช่น ลิงจมูกยาว (proboscis monkey) ที่มีจมูกโต รวมถึงเต่าที่มีจมูกคล้ายหมู และกบที่มีผิวหนังเหมือนถุงอัณฑะ
ไซมอน วัตต์ (Simon Watt) นักชีววิทยาและพิธีกรรายการทีวี ประธานสมาคมพิทักษ์สัตว์น่าเกลียด กล่าวว่าเขาหวังว่าการรณรงค์นี้จะดึงความสนใจมายังภัยคุกคามที่เกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดแต่น่าอัศจรรย์เหล่านี้
วัตต์ให้ความเห็นแก่บีบีซีนิวส์ว่า การอนุรักษ์ในแบบเดิมๆ นั้นมักเอาตัวเราเองเป็นใหญ่ เราปกป้องเพียงสัตว์ที่เราใกล้ชิดด้วยเพราะพวกมันน่ารัก อย่างแพนด้าเป็นตัวอย่าง หากการถูกคุกคามจนสูญพันธุ์เป็นสิ่งเลวร้ายอย่างที่เห็น การปกป้องเพียงสัตว์ที่มีเสน่ห์ดึงดูดนั้นเป็นสิ่งที่พลาดมหันต์


"ผมไม่ได้ต่อต้านแพนด้า แต่พวกสัตว์เหล่านั้นก็มีคนช่วยเหลืออยู่แล้ว ส่วนสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ต้องได้รับการช่วยเหลือ" วัตต์กล่าว และหวังว่าการโหวตครั้งนี้จะนำแสงสว่างมาสู่การอนุรักษ์ โดยเขาได้ทำงานร่วมกับนักแสดงตลกในการสร้างข้อความรณรงค์บนยูทิวป์เพื่อือกสิ่งมีชีวิตที่น่าเกลียดมาให้ประชาชนช่วยกันลงคะแนนโหวต
สำหรับบล็อบฟิชได้คะแนนโหวตเกือบ 10,000 โหวต โดยสัตว์หน้าตาประหลาดนี้อาศัยอยู่ทางชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของออสเตรเลียและแทสมาเนย ที่ใต้ทะเลลึก 600-1,200 เมตร ซึ่งมีความดันบรรยากาศสูงกว่าที่ระดับน้ำทะเลหลายสิบเท่า ร่างกายที่เป็นวุ้นของปลาชนิดนี้มีความหนาแน่นมากกว่าน้ำเล็กน้อย


บล็อบฟิชใช้ชีวิตอยู่แต่ใต้ทะเลลึก กินปูและกุ้งมังกร แต่ก็เดือดร้อนจากอวนลาก ซึ่งเป็นภัยคุกคามสำคัญ แม้ว่าจะเป็นปลาที่เรากินไม่ได้ แต่ก็ถูกจับขึ้นมาพร้อมกับอวนลาก ส่วนสัตว์อื่นๆ ที่ติดโผความน่าเกลียดก็กำลังถูกคุกคามถิ่นอาศัย ซึ่ง วัตต์หวังอีกว่า การรณรงค์ครั้งนี้จะเน้นให้เห็นข้อเท็จจริงว่า การอนุรัักษ์ควรมุ่งไปที่การพิทักษ์ถิ่นอาศัยของสัตว์ มากกว่าจะให้ความสำคัญเฉพาะสปีชีส์ใดเป็นพิเศษ
ด้าน คาร์ลี วอเตอร์แมน (Carly Waterman) จากสมาคมสัตววิทยาลอนดอน (Zoological Society of London) สรรเสริญการรณรงค์นี้ พร้อมกล่าวว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะเพิ่มความตระหนักแก่สัตว์ที่มีเสน่ห์ดึงดูดน้อย สัดส่วนส่วนใหญ่ของความหลากหลายในโลกนั้นถูกมองข้าม ดังนั้นการโบกธงรณรงค์เรื่องนี้จะเป็นแง่มุมบวก


ปูเยติ( Yeti Crab )

                                         ปูเยติ( Yeti Crab )






( Yeti Crab ) ที่มาของชื่อ " ปูเยติ " เนื่องจากมันมีขนสีขาวปกคลุมบริเวณก้าม และขา ซึ่งทำให้มันเหมือนกับตัวเยติ แห่งยอดเขาหิมาลัย ปูเยติถูกค้นพบในทะเลลึก ของมหาสมุทรแปซิฟิก ห่่างไปทางใต้ของเกาะอีสเตอร์ประมาณ 1500 กิโลเมตร ในน่านน้ำของประเทศชิลี
ปูเยติถูกค้นพบช่วงที่สำรวจใต้น้ำโดยเรื่อดำน้ำ ใต้ทะเลลึก ถูกพบบริเวณใกล้รอยแยกที่พื้นทะเล บริเวณน้ำแร่ร้อน ที่เรียกว่า " hydrothermal vents " ปูเยติ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า " Kiwa hirsuta "





เยติ ( Yeti )
เยติ (Yeti) หรือ มนุษย์หิมะ (The Abominable Snowman) เป็นมนุษย์วานรในตำนานของชาวภูเขาในเทือกเขาหิมาลัย ประเทศเนปาล คำว่า เยติ เป็นคำที่ชาวเซอร์ปาร์ผู้ที่อาศัยอยู่บนภูเขาสูงใช้เรียกมนุษย์วานรนี้ เยติ มีประวัติอันยาวนานมากที่สุดในบรรดาเรื่องราวของมนุษย์วานรทั้งหมดของชาว ภูเขา คนที่เคยเห็นมันเป็นบุคคลที่เชื่อถือได้ มูลของมันถูกนำมาวิเคราะห์ รอยเท้าถูกบันทึกภาพไว้และ ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง เยติเริ่มเป็นที่รู้จักโดยบุคคลภายนอกจากนักบุกเบิก ในปลายยุค 1950 และ 1960 การค้นพบนี้เกิดขึ้นขณะที่กำลังทำการสำรวจโดยใช้เรือดำน้ำ (submersible vehicles ) ที่ความลึกกว่า 1250 กิโลเมตร ขณะนั้นกับพบว่ามีอะไรบางอย่างเกาะอยู่บริเวณใกล้รอยแยกที่พื้ีนทะเล ที่มีน้ำแร่ร้อน เรียกว่า ” hydrothermal vents ” มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยพบมาก่อน และจากรูปลักษณ์ที่มีขนสีขาวปกคลุม คล้ายกับตัว เยติ ทำให้มันได้รับชื่อว่า ปูเยติ และมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า ” Kiwa hirsuta “หลังจากการค้นพบหนึ่งปีนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษา ปูเยติ ต่างลงความเห็นว่ายังมี “มีอีกหลายอย่างเกี่ยวกับ ปูเยติ ที่พวกเรายังไม่เข้าใจมัน” และหนึ่งในปริศนานั้นก็คือ





ขนจำนวนมากที่ปกคลุม ก้าม และขา ซึ่งนักวิทยาศาสตร์บางคนบอกว่า บนเส้นขนเป็นกับดักแบตเทอร์เลีย ที่ปูเยติใช้หาอาหาร แต่มีบางคนแย้งว่าเชื้อเหล่านั้นมีหน้าที่เป็นตัวกรองแร่ธาตุที่มีพิษ ที่พ่นออกมาจากช่องใต้ทะเลการที่ปูเยติ ยื่นก้ามเข้าไปในน้ำแร่ร้อนที่พ่นออกตามรอบแยกของพื้นทะเลเพื่ออะไร 







Dumbo Octopus [ปลาหมึก ดัมโบ้]

 Dumbo Octopus [ปลาหมึก ดัมโบ้]

ปลาหมึกแห่งท้องทะเลลึก Dumbo Octopus (ปลาหมึกดัมโบ) เป็นปลาหมึกน่าตาน่ารัก มีลักษณะรูปร่างคล้ายการ์ตูน มักอาศัยอยู่ในท้องมหาสมุทรที่มีระดับน้ำทะเลที่ลึกมาก ตัวเต็มวัยจะมีขนาดประมาณ 20 เซนติเมตร


Dumbo Octopus หรือปลาหมึกดัมโบ เป็นปลาหมึกน้ำลึกมักอาศัยอยู่ใต้ท้องมหาสมุทร มีลักษณะหน้าตาที่น่ารัก มองดูคล้ายกระปุกออมสินเล็กๆ หรือตัวการ์ตูน มีร่างกายอ่อนนุ่ม ลำตัวมีลักษณะกึ่งโปล่งใส มีครีบขนาดใหญ่สองอันบนร่างกายของมัน แถมยังมีพังผืดยึดระหว่างหนวด เมื่อโตเต็มวัยจะมีมีขนาด ประมาณ 20 เซนติเมตร เราสามารถพบเห็นปลาหมึกชนิดนี้ได้ในแทบทุกมหาสมุทรครับ


ปลาหมึกดัมโบ มักจะเคลื่อนไหวโดยใช้ครีบ และขยับหนวดของมัน ดันน้ำเข้าสู่ช่องดูดน้ำ เพื่อผลักดันน้ำออกมาเป็นไอพ่น และพวกมันสามารถว่ายน้ำลอยขึ้นเหนือท้องทะเลได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพื่อมองหาเหยื่อจำพวก หนอน หอยทาก และสัตว์น้ำตัวเล็กๆ อื่นๆเป็นอาหาร




Babirusa (บาบิรูซ่า)

Babirusa (บาบิรูซ่า)


              เขี้ยวโค้งยาวดูน่ากลัวร่างกายอวบอ้วนแต่ไร้ขน เขี้ยว 2 คู่ที่ยาวแหลมนั้น ชี้ขึ้นฟ้าทั้งเขี้ยวบนเขี้ยวล่าง ทะลุปากจะทิ่มหน้าตัวเอง

อาศัยอยู่บนเกาะสุลาเวสีในประเทศอินโดนีเซีย ชอบอยู่ตามปักโคลน หนองน้ำ หรือบริเวณใกล้แม่น้ำในป่าลึก เวลาเคลื่อนย้ายตัวจะเงียบเชียบราวกับการเคลื่อนไหวของกวาง

นักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มบอกว่า บาบิรุสซ่าก็คือหมูชนิดหนึ่ง บ้างก็บอกว่าไม่ใช่ ความแตกต่างของเจ้าบาริรุสซ่ากับหมูพันธุ์อื่นๆก็คือ

หมูเป็นสัตว์เท้ากีบชนิดเดียวที่ทำรัง และออกลูกคราวละมากๆ มีลายแต่เกิด มีระบบทางเดินอาหารไม่ซับซ้อนเหมือนสัตว์กีบอื่น เลยไม่ค่อยถูกโฉลกกับการกินสารที่มีกากใยมาก และจะเลือกกินพวกสารอาหารเยอะหน่อย เช่น ผลไม้ พืชหัว ราก เมล็ด หรือแม้แต่ ซากศพ

บาบิรุสซ่าต่างจากหมูทั่วไปตรงที่ออกลูกเพียง 1-3 ตัว อาจเพราะไม่มีสัตว์อื่นคอยล่า พึ่งพ่อแม่น้อยกว่าหมูทั่วไป อายุ 10 วันก็ออกจากรังไปลองกินอาหารแข็งแล้ว แถมยังมี 2 กระเพาะเหมือนควาย เลยย่อยเส้นใยได้ดี ตามตัวก็แทบไม่มีขน ต่างจากหมูทั่วไป